วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2557

prototype ต้นแบบผลิตภัณฑ์กับกระบวนการ R&D



ในยุคที่ลูกค้าสำคัญที่สุดสำหรับธุรกิจ และเป็นยุคที่ความต้องการในตลาดเปลี่ยนแปลงแทบจะรายวัน การคิดนวัตกรรมใหม่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการหรือผู้บริหารในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค การวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือ R&D จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กรในยุคใหม่เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
ในกระบวนการทำ R&D ทั้งหมดจะมีอยู่ขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญมากในการพัฒนานวัตกรรม นั่นก็คือกระบวนการสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์ หรือที่เรียกว่า Prototype

prototype ช่วยให้นักออกแบบและวิศวกรสามารถสำรวจการออกแบบ ทดสอบตามทฤษฏี หรือยืนยันประสิทธิภาพก่อนที่จะเริ่มต้นการผลิตสินค้าจริง
ในขั้นตอนของการทำ R&D นั้น เมื่อตกผลึกทางความคิดรายละเอียดของผลิตภัณฑ์แล้วก็จะนำไปสู่การสร้าง prototype หรือต้นแบบของผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นเครื่องมือในการวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ต้นแบบของสินค้าช่วยให้นักออกแบบและวิศวกรสามารถสำรวจการออกแบบ ทดสอบตามทฤษฏี หรือยืนยันประสิทธิภาพก่อนที่จะเริ่มต้นการผลิตสินค้าจริง
ประโยชน์ของการใช้ต้นแบบผลิตภัณฑ์ช่วยในการตรวจสอบแนวความคิด (Proof of concept) ว่าสิ่งที่ถูกออกแบบมานั้นถูกต้องตามที่คิดไว้หรือไม่ ทั้งเรื่องรูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์ วัสดุที่ใช้ในการผลิต กระบวนการในการผลิต ระบบหรือเทคโนโลยีที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ ต้นแบบผลิตภัณฑ์เป็นเครื่องมือในการศึกษาประสบการณ์การใช้งานของผู้บริโภค การที่นักออกแบบได้จับสัมผัสกับรูปทรงผลิตภัณฑ์ วิศวกรลองใช้งานจากตัวต้นแบบก็จะทำให้เรียนรู้ประสบการณ์การใช้งานอย่างชัดเจนขึ้น
ต้นแบบผลิตภัณฑ์ยังช่วยให้การสื่อสารชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อต้องมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่กับผู้บริหาร พันธมิตรทางธุรกิจ ผู้ร่วมลงทุน หรือลูกค้า เพราะการแสดงผลิตภัณฑ์ให้มองเห็นได้ทั้ง 3 มิติช่วยให้ง่ายต่อการเข้าใจมากกว่าการอธิบายตามคำพูด หรือแม้แต่การวาดภาพร่างผลิตภัณฑ์ลงบนกระดาษก็ตาม นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นเมื่อผลิตภัณฑ์นั้นนำไปผลิตเป็นสินค้าจริง และทำให้วิศวกรหรือนักออกแบบได้ทราบข้อจำกัดการใช้งานต่างๆ ของสินค้าจากต้นแบบ

Samsung มีทรัพยากรสำคัญคือทีมนักวิจัยและวิศวกรกว่า 42,000 คนทั่วโลก มีศูนย์วิจัย 42 แห่งทั่วโลก
ภาคธุรกิจกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีและอิเล็กทรอนิกส์มักให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นอย่างมาก มีการสร้างทีมวิจัยและพัฒนาภายในบริษัท หรือแสวงหาความร่วมมือกับองค์กรอื่นเพื่อร่วมกันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี หรือผลิตภัณฑ์ร่วมกัน บริษัท Samsung Electronics (ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์) ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เป็นอีกบริษัทที่ทุ่มงบให้กับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ถึงเก้าพันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2011 และในปี 2012 นี้ Samsung วางแผนงบประมาณให้กับการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นอีกกว่าหนึ่งหมื่นหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ยอดขายโทรศัพท์มือถือ Samsung แซงแชมป์ตลอดกาลอย่างโนเกียไป
samsung
ความสำเร็จของโทรศัพท์มือถือ Samsung มาจากการที่ให้ความสำคัญในเรื่องนวัตกรรมมาเป็นอันดับต้นๆ มีการวิจัยพัฒนาให้เกิดผลิตภัณฑ์หรืออุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาชิพหรือหน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED และไม่ละเลยที่จะทำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้อย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทสามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้อย่างรวดเร็ว Samsung สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือในองค์กรและคู่ค้า การสร้างเครือข่ายการวิจัยและพัฒนา ความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีแก่ลูกค้า ดังนั้นการวิจัยและพัฒนาจึงเป็นหัวใจหลักในการดำเนินธุรกิจของ Samsung

Samsung มีทรัพยากรสำคัญนั่นคือ ทีมนักวิจัยและวิศวกรกว่า 42,000 คนทั่วโลก มีศูนย์วิจัย 42 แห่งทั่วโลก Samsung Telecommunications เป็นหน่วยงานหนึ่งภายใต้ Samsung Electronics ที่มุ่งวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ ตั้งอยู่ที่เมืองซูวอน เกาหลีใต้ ในการวิจัยและพัฒนาโทรศัพท์มือถือ Galaxy SIII บริษัทได้สร้างทีมวิจัยเล็กๆ ขึ้นมาประกอบด้วยนักวิจัย 6 คน นักวิจัยกลุ่มนี้จะทำงานในพื้นที่ลับเฉพาะ ทุกคนห้ามไม่ให้พูดคุยกับเพื่อนหรือครอบครัวเกี่ยวกับการพัฒนา Galaxy SIII นอกจากนี้ยังห้ามถ่ายภาพภายใน ห้ามไม่ให้แผนกอื่นเห็นส่วนใดส่วนหนึ่งของโทรศัพท์ นักวิจัยแต่ละคนจะมีคีย์การ์ดส่วนตัวเพื่อเข้าห้องแล็ป และห้ามนักวิจัยนำต้นแบบโทรศัพท์ขึ้นมาแสดง แม้ในระหว่างการวิจัยจะมีปัญหาใดเกิดขึ้นก็ต้องใช้เพียงคำพูดหรือภาษาท่าทางเพื่อสื่อสารถึงปัญหาที่เกิดขึ้น 

การสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์เริ่มตั้งแต่การออกแบบ การทดสอบ ประเมินผล และปรับเปลี่ยนแก้ไขการออกแบบซึ่งวิเคราะห์จากต้นแบบโทรศัพท์ 
ในการสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์ของ Galaxy SIII ต้นแบบโทรศัพท์ถูกสร้างไว้ถึง 3 เครื่อง โดยแต่ละเครื่องมีฟังก์ชั่นการใช้งานแตกต่างกัน ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ความลับของสินค้ารั่วไหลไปถึงคู่แข่งหรือสื่อมวลชนอีกด้วย การสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์เริ่มตั้งแต่การออกแบบ การทดสอบ ประเมินผล และปรับเปลี่ยนแก้ไขการออกแบบซึ่งวิเคราะห์จากต้นแบบโทรศัพท์ ในช่วงสุดท้ายของออกแบบวิศวกรยังต้องทำให้ต้นแบบทั้ง 3 เครื่องมีฮาร์ดแวร์ที่แตกต่างกัน วิศวกรที่ต้องนำโทรศัพท์ต้นแบบไปทดสอบจะต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์เพื่อไปทดสอบผลิตภัณฑ์ที่อาคารอื่นของ Samsung แล้วยังต้องทำกล่องปลอมสำหรับใส่โทรศัพท์ต้นแบบทั้ง 3 เครื่องในระหว่างการเดินทางไปทดสอบอีกด้วย ที่ต้องทำกันขนาดนี้เพราะ Samsung ป้องกันไม่ให้ต้นแบบโทรศัพท์ไปตกหล่นในสถานที่อื่นๆ

การสร้าง Prototype Galaxy SIII ถึง 3 เครื่องเพื่อการวิจัยและพัฒนาสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ของ Samsung และพร้อมส่งมอบคุณค่าของสินค้าถึงมือผู้บริโภค นอกจาก Samsung แล้วทุกวันนี้องค์กรหลายแห่งให้สำคัญกับการวิจัยและพัฒนามากขึ้นก็เพื่อต้องการให้สินค้าตอบสนองความต้องการผู้บริโภคมากที่สุด ช่วยลดต้นทุนให้กับองค์กร บริษัทขายสินค้าได้ก็จะมีเงินทุนหมุนเวียนในการบริหารงาน และสามารถกระจายการลงทุนไปสู่ธุรกิจใหม่ เพื่อดำรงรักษาบริษัทให้อยู่รอดและพัฒนากิจการให้เจริญเติบโตต่อไป
ที่มา : http://incquity.com/articles/prototype-and-rd

ครูควรสอนเด็กอย่างไรในศตวรรษที่ 21

เปิด 6 อุปสรรคการทำงานครูไทย เมื่อการเรียนรู้ของเด็กยุคใหม่ไม่เหมือนเดิม พบปัญหาครูถูกเบียดเวลาสอน จำนวนครูไม่เพียงพอ ขาดทักษะไอที ขณะที่ปัจจัยส่งเสริมการทำงาน 39% ต้องการยกระดับการเรียนรู้เพื่อพัฒนาศิษย์ พร้อมเสนอ 7 วิธีพัฒนาทักษะครูไทยสู่ศตวรรษที่ 21 " รู้จักตั้งคำถาม-สอนให้เด็กคิดเป็น"
 


ดร.รุ่งนภา จิตรโรจนรักษ์ นักวิชาการยุทธศาสตร์ส่งเสริมการเรียนรู้ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน กล่าวว่า เนื่องในวันครูแห่งชาติ ปี 2556 สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชนได้สำรวจความเห็นของครูสอนดีจำนวน 210 คน โดยกลุ่มตัวอย่างกระจายใน 4 ภูมิภาคของประเทศ เพื่อสอบถามถึงปัจจัยที่เป็นอุปสรรคของการทำหน้าที่ครู และแนวทางการส่งเสริมครูให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งพบ 6 ปัญหาสำคัญที่กลายเป็นอุปสรรคของการทำหน้าที่ครู ประกอบด้วย 1) ภาระหนักนอกเหนือจากการสอน 22.93% 2) จำนวนครูไม่เพียงพอ สอนไม่ตรงกับวุฒิ 18.57% 3) ขาดทักษะด้านไอซีที 16.8% 4) ครูรุ่นใหม่ขาดจิตวิญญาณ ขณะที่ครูรุ่นเก่าไม่ปรับตัว 16.49% 5) ครูสอนหนัก ส่งผลให้เด็กเรียนมากขึ้น 14.33% และ 6) ขาดอิสระในการจัดการเรียนการสอน 10.88%


UploadImage

ดร.รุ่งนภา กล่าวว่า สำหรับปัจจัยส่งเสริมการทำหน้าที่ของครูให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้นพบว่า อันดับ 1 คือการอบรม แลกเปลี่ยน และสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ 19.32%, การพัฒนาตนเองในเรื่องไอซีที 19%, การเพิ่มฝ่ายธุรการ 18.01%, ปรับการประเมินวิทยฐานะ 17.12%, การลดชั่วโมงการเรียนการสอนของครูและการเรียนของเด็ก 13.42% และการปลดล็อคโรงเรียนขนาดเล็ก 13.13% จะเห็นได้ว่าปัจจัยฉุดรั้งการทำงานของครูไทยมีทั้งปัจจัยที่มาจากครูผู้สอน และปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยส่งเสริมที่ครูต้องการพบว่า 39% เป็นปัจจัยเพื่อการพัฒนากระบวนการสอน เพื่อถ่ายทอดความรู้แก่ศิษย์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นจึงสะท้อนให้ถึงจิตวิญญาณของความเป็นครู


นพ.วิจารณ์ พานิช ผู้ทรงคุณวุฒิ สสค. กล่าวว่า การสอนของครูในปัจจุบันพบว่า ครูเกือบ 100% ยังถ่ายทอดความรู้แบบสอนวิชา ส่งผลให้เด็กมีคุณสมบัติที่น่ากลัวที่สุด คือขาดภาวะผู้นำ เด็กจะมีทักษะความเป็นผู้นำได้ก็ต่อเมื่อมีความมั่นใจในตัวเอง มีความคิดเป็นของตัวเอง วิธีการเรียนรู้ของเด็กในยุคใหม่จึงต้องเรียนโดยลงมือทำ ฝึกให้ปฏิบัติจริงและมีการแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น แต่ไม่ควรปล่อยให้เด็กเรียนเอง ครูต้องออกแบบการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับระดับพัฒนาการของเด็ก สามารถประเมินลูกศิษย์แต่ละคนได้ว่ามีพื้นความรู้เพียงใด เพื่อออกแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน และประเมินความก้าวหน้าของเด็กแต่ละกลุ่ม

 
UploadImage

ด้าน ศ.ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า ครูไทยยุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 ต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้ถ่ายทอดความรู้เป็นผู้อำนวยความรู้ ซึ่งในปัจจุบันเริ่มมีการพูดถึงทักษะของเด็กในศตวรรษที่ 21 แต่ยังไม่มีคู่มือประกอบแนวทางการพัฒนาทักษะครูให้พร้อมต่อการเรียนการสอนในยุคสมัยใหม่ ครูไทยจำนวนมากจึงเหมือนถูกปล่อยอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ทั้งนี้แนวทางในการพัฒนาทักษะครูไทยในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วยทักษะ 7 ด้าน ได้แก่ 1.ทักษะในการตั้งคำถาม เพื่อช่วยให้ศิษย์กำหนดรู้เป้าหมายและคิดได้ด้วยตนเอง 2.ทักษะที่สอนให้เด็กหาความรู้ได้ด้วยตัวเองและด้วยการลงมือปฏิบัติ 3.ทักษะในการคัดเลือกความรู้ ตามสภาพแวดล้อมจริง 4.ทักษะในการสร้างความรู้ ใช้เกณฑ์การทดสอบและตรวจสอบความถูกต้องอย่างไร เพื่อทำให้ศิษย์เกิดความเข้าใจอย่างชัดแจ้ง 5.ทักษะให้ศิษย์คิดเป็น หรือตกผลึกทางความคิด 6.ทักษะในการประยุกต์ใช้ และ 7.ทักษะในการประเมินผล ซึ่งครูยุคใหม่จำเป็นต้องมีทักษะทั้ง 7 ด้านในการเป็นผู้อำนวยความรู้ให้เด็ก แทนที่จะเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้เหมือนก่อน

ที่มา :  
http://www.jsfutureclassroom.com/news_detail.php?nid=298

ทักษะการทำงานในปี 2020


UploadImage


ทักษะการทำงานในปี 2020


            สถาบัน  Apollo Research Institute ได้


ทำการวิจัยเกี่ยวกับทักษะการทำงานในอนาคต 
สำหรับคนทำงานปี 2020 สรุปได้ว่ามีทักษะที่จำเป็นทั้งหมด 10 อย่าง ที่คนทำงานต้องมี ต้องเป็น ต้องเก่ง ถึงจะทำงานได้ดี และเป็นที่ต้องการตัวในตลาดงาน ซึ่งทักษะที่ว่านี้มีอะไรบ้าง 


1. Sense-making ความสามารถในการวิเคราะห์ หรือแปลความหมายได้ลึกซึ้งในเรื่องต่างๆ


2. Social intelligence ความสามารถในการเชื่อมต่อไปยังผู้อื่นในทางลึกและทางตรง เพื่อกระตุ้นปฏิกิริยาและการมีปฏิสัมพันธ์ในเชิงบวก

3. Novel and adaptive thinking ความสามารถในการคิดที่มาพร้อมกับการแก้ปัญหาและการตอบสนอง ซึ่งเป็นความสามารถที่มากกว่าการท่องจำหรือตามทำกฎระเบียบ

4. Cross-cultural competency ความสามารถในการดำเนินงานในสภาพวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน

5. Computational thinking ความสามารถในการแปลข้อมูลมาเป็นแนวคิด และเข้าใจเหตุผลตามฐานข้อมูลที่มี

6. New media literacy ความสามารถในการพัฒนาเนื้อหา และยกระดับให้เป็นสื่อสำหรับการสื่อสารเพื่อโน้มน้าวใจ

7. Transdisciplinarity ความรู้ความสามารถในการเข้าใจแนวคิดข้ามศาสตร์หลายสาขาวิชา

8. Design mindset ความสามารถในการเป็นตัวแทน และพัฒนากระบวนการเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ

9. Cognitive load management ความสามารถในการแยกแยะ และกลั่นกรองข้อมูลที่มีความสำคัญ ตลอดจนเข้าใจถึงวิธีการเพิ่มปัญญา โดยใช้เครื่องมือและเทคนิคที่หลากหลาย

10. Virtual collaboration ความสามารถในการทำงานแบบเป็นทีม และสร้างความผูกพันในหมู่คณะให้เกิดขึ้น


ที่มา :  http://www.jsfutureclassroom.com/news_detail.php?nid=350

“นวัตกรรม”




นวัตกรรม หมายถึง ความคิดและการกระทำใหม่ ๆ ที่นำมาใช้ในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการดำเนินงาน
ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
                นวัตกรรมทางการศึกษา หมายถึง ความคิดและวิธีการใหม่ ๆ ที่ส่งเสริมให้กระบวนการศึกษา
มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เช่น การสอนแบบโปรแกรม (Program Instruction) เครื่องช่วยสอน (Teaching Machine)

        ข้อสังเกตเกี่ยวกับสิ่งที่ถือว่าเป็นนวัตกรรม
                  1. เป็นความคิดและการกระทำใหม่ทั้งหมดหรือปรับปรุงดัดแปลงจากที่เคยมีมาก่อนแล้ว
                  2. ความคิดหรือการกระทำนั้นมีการพิสูจน์ด้วยการวิจัยและช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
                  3. มีการนำวิธีระบบมาใช้อย่างชัดเจน โดยพิจารณาองค์ประกอบทั้ง 3 ส่วน คือ
ข้อมูลที่ใส่เข้าไป กระบวนการ และผลลัพธ์
                  4. ยังไม่เป็นส่วนหนึ่งของระบบงานปัจจุบัน

      ขั้นตอนของการเกิดนวัตกรรม
                  1. ขั้นการประดิษฐ์คิดค้น (Invention)
                  2. ขั้นการพัฒนาการ (Development) หรือขั้นการทดลอง (Pilot Project)
                  3. ขั้นการนำไปหรือปฏิบัติจริง (Innovation)
           
                   นวัตกรรมเป็นคำที่ใช้ควบคู่กับเทคโนโลยีเสมอ ดังแผนภูมิต่อไปนี้ 
                                
           จะเห็นได้ว่าเป้าหมายของนวัตกรรมและเทคโนโลยี คือ ทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยความคิดหรือการกระทำใหม่ ๆ จะถูกนำมาใช้ก่อนจนกว่าจะถูกกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบงานในปัจจุบัน
ความคิดหรือการกระทำใหม่ ๆ ที่เรียกว่า นวัตกรรมนั้นก็จะกลายเป็นเทคโนโลยีขึ้นมาทันที
     ปัญหาและอุปสรรคทางการศึกษา
       
            การพัฒนาการศึกษา มีปัญหาและอุปสรรคสำคัญ 4 ประการ คือ
                1. ปัญหาบุคคล ได้แก่ ผู้บริหาร ผู้สอน และผู้เรียน
                2. ปัญหาเครื่องมือ ได้แก่ ศักยภาพและประสิทธิภาพของเครื่องมือหรือสื่อการศึกษา
                3. ปัญหางบประมาณ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการจัดการหรือการบริหารงานการศึกษา
                4. ปัญหาวิธีการ ได้แก่ วิธีการหรือช่องทางที่จะทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 
ที่มา : http://reg.ksu.ac.th/teacher/sudatip/elearning_files/data1.html

Opportunity Recognition

การรับรู้ถึงโอกาส (Opportunity Recognition)


นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักจะถูกถามว่า เพราะเหตุใดถึงประสบความสำเร็จในธุรกิจ ?…นักธุรกิจที่ถูกสัมภาษณ์มักจะตอบอว่า เป็นเพราะโชคเข้าข้างและ โอกาสวิ่งเข้ามาหาพอดี” …จนนักธุรกิจยุคใหม่หลายคนที่ต้องการประสบความสำเร็จต่างนอนฝันและรอโอกาสที่จะวิ่งเข้ามาชนกับตัวเองบ้าง เพื่อที่จะได้กลายเป็นนักธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จคนต่อไป ซึ่งเป็นวิธีการคิดที่ผิด….!  เป็นไปได้จริงหรือนี่  ?.. มันเป็นไปได้อย่างไร ?..คนเราจะประสบความสำเร็จโดยที่ไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย  ?…เพียงแค่รอโอกาสให้วิ่งมาหาเท่านั้นหรือ  ?… ซึ่งในโลกบนความเป็นจริงเป็นไปไม้ได้เลย.. นอร์แมน ออกัสติน อตีตประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหารของ Logkheed  Martin ได้กล่าว่า
สิ่งที่สำคัญก็คือ เราต้องฉลาดพอที่จะรับรู้ว่า สิ่งนั้นจะเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่เมื่อเราเห็นมันอยู่ตรงหน้า” (Norman Augustine)
การที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจได้นั้นคือ การริเริ่มสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับตัวเอง การมองไปที่ภาพรวมของผลิตภัณฑ์ว่ามีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง ?   สิ่งแรกที่ต้องเริ่มทำก่อนคือ ทำการสำรวจความต้องการทางตลาดหรือความต้องการของลูกค้าเสียก่อนว่า ลูกค้าต้องการอะไร ต้องการมากขนาดไหน จากนั้นจึงมาดูในส่วนที่เกี่ยวกับตัวธุรกิจและผลิตภัณฑ์ของว่าสามารถตอบสนองความต้องการในส่วนนั้นได้มากขนาดไหนและอย่างไร แล้วจึงเริ่มลงมือวางแผนและเขียนแผนธุรกิจที่เหมาะกับตัวธุรกิจมากที่สุด
ค้นหาจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่เป็นความสามารถเฉพาะ  ที่เหนือกว่าผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งออกมานำมาเสนอให้ได้  มีพลังในการสร้างแรงดึงดูดให้กับผู้บริโภคหรือลูกค้า   สามารถตอบโจทย์ของลูกค้าได้ ว่าทำไมจึงต้องใช้สินค้าของทางบริษัท และสินค้าจะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างไร นอกจากนี้ต้องมีความรอบรู้ในด้านข้อมูลต่างๆที่มีความจำเป็นต่อการสร้างโอกาสทางธุรกิจ เช่น ข้อเด่น ขอด้อย ของผลิตภัณฑ์ ความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับการตลาด การจัดการในบริษัท รวมถึงวิธีการจัดเก็บข้อมูลอื่นๆที่มีความสำคัญที่สามารถนำมาใช้ช่วยสร้างโอกาสในธุรกิจด้วย…    การสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่นั้น เป็นเรื่องที่สามารถจะทำให้เกิดขึ้นได้ด้วยตัวของผู้ประกอบการเอง      และควรมีการประเมินโอกาสทางธุรกิจ โดยตั้งคำถามที่สำคัญ 3 ข้อคือ
-มีความเหมาะสมของนวัตกรรมกับกลยุทธ์ขององค์กร
-มีความสามารถด้านเทคนิคขององค์กรในการสร้างนวัตกรรม
-มีความสามารถทางด้านธุรกิจที่ส่งผลให้นวัตกรรมประสบความสำเร็จ
 ผู้ประกอบการสามารถปฏิบัติตามได้ดังนี้ รับรองว่าจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนที่สุด

ที่มา  :  http://ratcha2000.wordpress.com



ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม

ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม

        


            การเรียนรู้ทักษะของนักเรียนในศตวรรษที่ 21 นั้นการจัดการเรียนรู้ควรคำนึงถึง มาตรฐานการเรียนการสอนศตวรรษที่ 21 การประเมินผลหลักสูตรการเรียนการสอน การพัฒนาอาชีพและสภาพแวดล้อม การเรียนรู้จะต้องสอดคล้องกับระบบการจัดการเรียนการสอน ดังนั้น ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม มีความสำคัญและจำเป็นต่อการเปลี่ยนแปลงระบบการเรียนการสอน หรือการศึกษาในศตวรรษที่ 21
        ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมสำหรับนักเรียนในศตวรรษที่ 21เป็นทักษะที่มีความพร้อมสำหรับการดำรงชีวิตที่ซับซ้อนมากขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในการทำงาน โดยมุ่งเน้นด้านความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสาร การคิดเชิงวิเคราะห์และการทำงานร่วมกัน เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับนักเรียนในอนาคต
        ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมคือ การใช้ความหลากหลายของเทคนิคการใช้ความคิด (การระดมความคิด ) การสร้างสรรค์ความคิดใหม่ๆ ที่คุ้มค่า วิเคราะห์และประเมินผลความคิดของตนเอง เพื่อปรับปรุงและเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ของตนอยู่ตลอดเวลา การทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ การสื่อสารความคิดใหม่ๆร่วมกัน เปิดกว้างและตอบสนองมุมมองใหม่ๆ มีการเสนอแนะในการทำงานร่วมกัน  แสดงให้เห็นถึงความคิดริเริ่มและสร้างสรรค์ในการทำงานและเข้าใจข้อจำกัด ในโลกปัจจุบันจริงที่จะใช้ความคิดใหม่ดูความล้มเหลวเป็นโอกาสที่จะเรียนรู้ เข้าใจว่าความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเป็นกระบวนการวัฏจักรของความสำเร็จและมีความผิดพลาดเล็ก ๆ บ่อยอยู่บ้าง
                   การใช้ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม  
การคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหา
การใช้เหตุผลอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้เหตุผลในการทำงานตามความเหมาะสมกับสถานการณ์
ใช้การคิดเชิงระบบ  วิเคราะห์ แยกแยะ  เพื่อสร้างผลลัพธ์โดยรวมในระบบที่ซับซ้อน
ให้คำตัดสินและการตัดสินใจ  ได้อย่างมีประสิทธิภาพในการวิเคราะห์และประเมินค่า,  วิเคราะห์และประเมินทางเลือกที่สำคัญมุมมองต่างๆ ,สังเคราะห์และทำให้การเชื่อมต่อระหว่างข้อมูลและข้อโต้แย้ง , ตีความข้อมูล
และสรุปผลจากการวิเคราะห์ที่ดีที่สุด , สะท้อนให้เห็นถึงวิกฤตเมื่อประสบการณ์การเรียนรู้และกระบวนการ
แก้ปัญหาแก้ปัญหาที่แตกต่างกันของปัญหาในรูปแบบทั้งแบบธรรมดาและนวัตกรรม ,ระบุและถามคำถามสำคัญที่ชี้แจงจุดต่างๆของมุมมองและนำไปสู่​​การแก้ปัญหาที่ดีกว่า
การสื่อสารและการทำงานร่วมกัน
การสื่อสารอย่างชัดเจน 
-  ความชัดเจนในด้านความคิด คิดอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ทักษะการสื่อสาร การเขียน ความหลายหลากในรูปแบบและบริบทในการสื่อสาร
-  การสื่อสารโดยการฟังอย่างมีประสิทธิภาพ มีความรู้ ค่านิยม ทัศนคติและความตั้งใจ ตอบสนองการฟัง ฟังแล้วสามารถเข้าใจ สื่อสารได้
-  การใช้สื่อและเทคโนโลยีที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย
-  การสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ สื่อสารได้หลายภาษา
-  แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและการทำงานเป็นทีมที่มีความหลากหลายได้
-  มีความสามารถฝึกฝนได้อย่างคล่องแคล่ว และความตั้งใจในการทำให้เกิดความสำเร็จ บรรลุเป้าหมาย
-  มีความรับผิดชอบร่วมกันสำหรับการทำงานร่วมกันและการมีส่วนร่วมของแต่ละบุคคล
     ในปัจจุบัน ทุกภาคส่วน ควรตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ถึงเวลาที่จะต้องร่วมมือกันจัดการศึกษาให้ก้าวทันยุคทันเหตุการณ์ 

STEM Education

 


                     STEM Education คือ “การเรียนรู้เนื้อหาและทักษะทางด้านวิชาวิทยาศาสตร์ (Science) คณิตศาสตร์  (Mathematics) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และ เทคโนโลยี (Technology) ซึ่งล้วนเป็นวิชาที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีความรู้ความสามารถที่จะดํารงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพในโลกศตวรรษที่ 21 ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีความเป็นโลกาภิวัฒน์ ตั้งอยู่บนฐานความรู้ และเต็มไปด้วยเทคโนโลยี อีกทั้งวิชาทั้งสี่เป็นวิชาทีมีความสําคัญอย่างมากกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ การพัฒนาคุณภาพชีวิต และ ความมั่นคงของประเทศ” ซึ่งเมื่ออ่านดูแล้วอาจจะดูเหมือนว่าเป็นสิ่งใหม่ แต่ที่จริงแล้ว STEM Education ก็เป็นแนวคิดในการจัดการศึกษา STEM Education ที่ได้ลงมือปฏิบัติ ทำงานเป็นกลุ่ม อภิปรายและสื่อสารเพื่อนำเสนอ คล้ายกับแนวทางการเรียนรู้แบบ Project based Learning โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Inquiry) ที่มีการสร้างชิ้นงานหรือโครงงานที่เกิดจากการนำความรู้ ความเข้าใจใน 4 วิชาหลัก ได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science) คณิตศาสตร์  (Mathematics) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และ เทคโนโลยี (Technology) มาบูรณาการกันนั่นเอง ซึ่งนี่อาจจะเป็นสิ่งที่คุณครูหลายๆท่านก็ให้ลูกศิษย์ทำอยู่แล้วก็เป็นได้ 


STEM Education 



              


ที่มา : http://teacherkobwit2010.wordpress.com/stem-education/
นายรักษพล ธนานุวงศ์ . www.secondsci.ipst.ac.th

เรียนภาษาด้วยการกินยาเม็ดไฮเทค

เรียนภาษาด้วยการกินยาเม็ดไฮเทค

ใครที่อยากเรียนภาษาที่สอง เดี๋ยวนี้ไม่ยากค่ะแต่ต้องใช้ความพยายาม โรงเรียนและสถาบันที่เปิดสอนเปิดให้เลือกเรียนเต็มไปหมด แต่ในอนาคตรูปแบบการเรียนจะเปลี่ยนไปเมื่อมีเทคโนโลยีสุดล้ำมาช่วย
ล่าสุด Nicholas Negroponte ผู้ก่อตั้ง MIT Media Lab เชื่อมั่นว่าในอนาคตการเรียนรูปแบบนี้จะเปลี่ยนไป เราจะเรียนรู้ภาษาใหม่ด้วยวิธีที่พิเศษไปกว่านั้น Negroponte ได่แสดงวิสัยทัศน์ในงาน TED Talk เริ่มจากการคาดการณ์เทคโนโลยีล่วงหน้าในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา แล้วเทคโนโลยีเหล่านั้นได้กลายเป็นจริงขึ้นมา ซึ่งเค้าก็ทายถูกหลายอย่างด้วยกัน นอกจากนั้นเค้ายังกล่าวถึงเส้นทางต่อไปในอนาคต ซึ่งตอนท้ายของการบรรยายครั้งนี้ เค้าได้พูดถึง การเรียนรู้ภาษาด้วยการกินยา ” ผมขอทำนายว่าต่อไปเพียงแค่เราทานยาเข้าไป เราจะรู้ภาษาอังกฤษทันที อยากรู้จักเช็คสเปียร์ก็กินยาเข้าไป

หลายคนคงเริ่มสงสัยแล้วว่ายาจะส่งต่อความรู้ให้เราได้ยังไง? หลักการก็คือใช้กระแสเลือด เมื่อเม็ดยาเข้าสู่กระแสเลือดมันก็จะไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ไปสู่สมอง เมื่อมันไปอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง มันก็จะส่งข้อมูลให้กับผู้ใช้ ฟังดูแล้วอาจจะเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ แต่เค้าเชื่อว่าเทคโนโลยีนี้จะเป็นจริงภายใน 30 ปีข้างหน้า
ที่มา : http://www.dailygizmo.tv

วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557

ห้องเรียนในอนาคตแห่งศตวรรษที่ 21

ในปัจจุบัน การเรียนการสอนในโรงเรียนไทยจะเน้นการเรียนในวิชาต่างๆ โดยใช้สาระวิชาและมาตรฐานสาระการเรียนรู้เป็นตัวควบคุมพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนด้วยตัวชี้วัดหรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง การสอนของครูไทยโดยส่วนมากจะเน้นการเรียนการสอนในห้องเรียน และใช้เป็นตัววัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาด้านวิชาการ ซึ่งสิ่งที่ขาดหายไปคือการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน การพัฒนาคุณค่าที่จะส่งผลต่อการเรียน การดำเนินชีวิต และการทำงานในอนาคต
            การเรียนรู้ของนักเรียนที่เกิดจากการเรียนรู้แบบเดิมๆ คือมีสถานที่ที่จำกัดแต่เฉพาะในห้องเรียน และมีสัดส่วนครูกับนักเรียนที่มากเกินไป ซึ่งไม่เหมาะกับบรรยากาศการเรียนรู้ที่จะเน้นเป็นรายบุคคล ดังนั้น ห้องเรียนในศตวรรษที่ 21 จึงเป็นที่สนใจในสถาบันการศึกษาทั่วทั้งโลก ซึ่งจะมีการปรับปรุงการเรียนการสอนอย่างบูรณาการ และมี นวัตกรรมใหม่ๆ ทางด้านเทคโนโลยี โดยการใช้ระบบเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Socail network) มาสนับสนุนการเรียนรู้ และการบริหารจัดการทางด้านวิชาการ บุคคล งบประมาณ และการบริหารทั่วๆ ไปเพื่อพัฒนาคุณภาพเด็กยุคใหม่ด้วยสารสนเทศรอบด้าน 



ห้องเรียนแห่งอนาคตผู้เรียนได้เรียนรู้อะไร?
ความคิดสร้างสรรค์ หรือจินตนาการทางด้านความคิด (Creative) เพราะเนื่องจากในปัจจุบัน หลายประเทศได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทางด้านความคิดสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก เพราะความคิดสร้างสรรค์สามารถสร้างคุณค่าและความได้เปรียบทางการแข่งขันเป็นอย่างมาก แต่ในประเทศไทยนั้น การศึกษาของบ้านเรายังเน้นการท่องจำ เน้นการเรียนเพื่อนำไปสอบ จึงไม่สามารถทำให้เด็กไทยมีความคิดสร้างสรรค์ได้เท่าที่ควร ดังนั้น ห้องเรียนดังกล่าวจึงออกแบบหลักสูตรให้เหมาะสมกับสภาวะสังคมแห่งอนาคต โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบ Creative Based Learning ซึ่งได้รับการทดสอบมาแล้วตั้งแต่ปี 2554 ให้นักเรียนได้เรียนรู้แบบสร้างสรรค์ คิดและแสดงออกแบบสร้างสรรค์ โดยการค้นคว้า การแสดงออก และการนำเสนอ นอกจากนั้น ผู้เรียนยังได้รับความสนุกสนานจากการฝึกความคิดสร้างสรรค์ ด้วยเกมส์ที่พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ เช่น เกมส์มองหลากมุม เกมส์คำตอบดีมีมากมาย เป็นต้น
การสื่อสาร (Communication) ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของเด็กไทยคือการที่เด็กไทยไม่กล้าที่จะแสดงออก ขี้อาย กลัวว่าสิ่งที่ตัวเองตอบจะผิด ซึ่งเป็นกรอบการเรียนที่พบเจอในปัจจุบัน ในขณะที่ต่างประเทศกำลังให้ความสำคัญกับการสื่อสารเป็นอย่างมาก 
แรงบันดาลใจ (Inspiration) หากเราเคยได้ยินบุคคลในสาขาอาชีพต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จเล่าให้เราฟังถึงประสบการณ์ที่ผ่านมา เราจะพบว่าคนเหล่านั้นไม่ได้อะไรมาง่ายๆ ส่วนมากเริ่มจากศูนย์ ต้องใช้ความมุ่งมั่น ความพยายาม อดทนต่อความลำบาก ต่อสู้กับปัญหาต่างๆ มากมาย กว่าจะสำเร็จและสุขสบายได้เช่นทุกวันนี้
 


ผลที่เกิดจากการประยุกต์ใช้งานอินเทอร์เน็ต ซึ่งกำลังเริ่มเปลี่ยนสังคมและเศรษฐกิจโลกไปทีละเล็กละน้อยนี้ หลายคนอาจจะไม่ได้สังเกตว่าเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตมีบทบาทอย่างมากต่อรูปแบบการเรียนการสอน อีกทั้งยังมีบทบาทในการทำงาน และนับวันจะมีบทบาทมากขึ้นต่อการดำเนินชีวิต ส่งผลให้องค์กรแต่ละแห่งต้องคิดทบทวนเกี่ยวกับรูปแบบและวิธีดำเนินงานในปัจจุบัน ด้วยการนำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตมาช่วยงาน อันจะนำไปสู่การปรับปรุงและการพัฒนา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติงานให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งอนาคต

           ภาพจาก https://www.google.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ไอบีเอ็มเผย5นวัตกรรมที่จะเปลี่ยนชีวิตคนในอีก5ปีข้างหน้า



 

ไอบีเอ็มเผยรายงาน IBM 5 in 5 ฉบับล่าสุดกับ 5 นวัตกรรมเมื่อเราได้ก้าวสู่ยุคที่คอมพิวเตอร์สามารถรับรู้รูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัส ที่จะเปลี่ยนอนาคตการทำงาน การใช้ชีวิต และการติดต่อสื่อสารของคนเราในอีก 5 ปีข้างหน้า...  

สิ่งที่ไอบีเอ็มกล่าวไว้ในรายงาน IBM 5 in 5 "ไอบีเอ็ม ไฟว์ อิน ไฟว์"  ปีนี้ คือ นวัตกรรมคอมพิวติ้งที่ไอบีเอ็มเรียกว่า ระบบที่มีกระบวนการรับรู้ หรือ Cognitive Systems ที่จะทวีบทบาทและเป็นรากฐานสำคัญของคอมพิวเตอร์ยุคใหม่ ที่สามารถเรียนรู้ ปรับตัว รับรู้ และสัมผัสโลกของเราในแบบที่เป็นอยู่ได้ ในอีก 5 ปีข้างหน้า คอมพิวเตอร์จะสามารถเลียนแบบประสาทสัมผัสของมนุษย์ ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส

นางพรรณสิรี อมาตยกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ทุกปี นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์วิจัยและพัฒนาของไอบีเอ็มทั่วโลกจะร่วมกันศึกษาความก้าวหน้าของเทคโนโลยีใหม่ๆ และคาดการณ์แนวโน้มทางด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่จะมีอิทธิพลต่อสังคมและธุรกิจโลก โดยจัดทำเป็นรายงาน ไอบีเอ็ม ไฟว์ อิน ไฟว์นำออกเผยแพร่ทั่วโลกติดต่อกันเป็นปีที่ 7 แล้ว สำหรับปีนี้ นักวิทยาศาสตร์ของไอบีเอ็มเน้นการศึกษาวิจัยเทคโนโลยีก้าวล้ำที่จะช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถรับรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวและเลียนแบบประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์ ที่เป็นก้าวย่างสำคัญสู่ยุคสมัยใหม่ของคอมพิวติ้ง ที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตเราในอนาคตอันใกล้นี้


การสัมผัส: คุณจะสามารถสัมผัสผ่านโทรศัพท์ของคุณ

ในอีก 5 ปีข้างหน้า อุตสาหกรรมต่างๆ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ด้วยความสามารถในการ สัมผัสผลิตภัณฑ์ผ่านอุปกรณ์พกพา  ว่าที่เจ้าสาวจะสามารถเลือกชุดแต่งงานได้โดยสัมผัสเนื้อผ้าซาตินหรือผ้าไหมที่ใช้ตัดเย็บรวมถึงผ้าลูกไม้ที่ใช้คลุมหน้าได้จากหน้าจอแทบเล็ต ขณะที่แม่บ้านจะสามารถสัมผัสลูกปัดหรือเส้นไหมที่ใช้ถักทอผ้าห่มผืนใหญ่ซึ่งเป็นงานหัตถกรรมท้องถิ่นของชนพื้นเมืองในอีกซีกโลกหนึ่งได้ เพียงแค่ลากนิ้วผ่านหน้าจอโทรศัพท์

ขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์ของไอบีเอ็มกำลังใช้เทคโนโลยีการรับรู้โดยใช้แรงป้อนกลับ อินฟราเรด และความไวต่อแรงกด เพื่อพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับธุรกิจค้าปลีก การแพทย์ และอุตสาหกรรมอื่นๆ วัตถุทุกประเภทจะมีชุดรูปแบบของการสั่นไหวเฉพาะ ที่มอบประสบการณ์การสัมผัสสมจริงเวลาที่ผู้บริโภคลากนิ้วผ่านภาพสินค้าบนหน้าจออุปกรณ์พกพา เช่น การสั่นไหวสั้นๆ อย่างรวดเร็ว หรือการสั่นไหวที่แรงขึ้นและต่อเนื่องเป็นเวลานาน  รูปแบบการสั่นไหวนี้จะกระตุ้นประสาทสัมผัสทางกายภาพของผู้บริโภคและช่วยจำแนกความแตกต่างระหว่างผ้าไหมกับผ้าฝ้ายหรือผ้าลินิน ทำให้ผู้บริโภครู้สึกราวกับได้สัมผัสกับวัสดุนั้นจริงๆ ทั้งนี้การใช้เทคโนโลยีนี้อย่างกว้างขวางในอนาคต จะส่งผลให้โทรศัพท์มือถือกลายเป็นเครื่องมือที่เราใช้ปฏิสัมพันธ์กับโลกรอบๆ ตัว


การมองเห็น: ภาพหนึ่งพิกเซลจะมีคุณค่ามากกว่าหลายถ้อยพันคำ
ข้อมูลจาก Digital Media Analysis, Search and Management workshop, 2/27-2/28, 2012  และ You Tube ระบุว่าเราถ่ายภาพ 500,000 ล้านภาพต่อปี และทุกๆ นาที เราอัพโหลดวิดีโอ 72 ชั่วโมงไปยัง YouTube  มูลค่าตลาดภาพเพื่อการวินิจฉัยทางการแพทย์ทั่วโลกก็เติบโตอย่างก้าวกระโดด ในขณะที่ทุกวันนี้ ข้อมูลส่วนใหญ่หรือเนื้อหาที่แท้จริงของภาพยังคงเป็นปริศนา เพราะคอมพิวเตอร์ยังมีเพียงความสามารถในการรับรู้จากข้อความหรือชื่อภาพที่เราตั้งให้เท่านั้น

ใน 5 ปีข้างหน้า นอกจากระบบต่างๆ จะสามารถตรวจสอบและรับรู้เนื้อหาของรูปภาพตลอดจนข้อมูลภาพได้แล้ว ยังจะสามารถแปลงพิกเซลให้กลายเป็นความหมาย และเริ่มตีความได้เหมือนที่คนเราทำเวลามองดูรูปภาพ ความสามารถที่ เหมือนสมองนี้จะช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์คุณลักษณะต่างๆ เช่น สี รูปแบบพื้นผิว หรือข้อมูลบริบท และกลั่นกรองข้อมูลเชิงลึกจากสื่อที่เป็นรูปภาพ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ วงการแพทย์ ธุรกิจค้าปลีก และเกษตรกรรม

ระบบคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถในการ มองเห็นและได้รับการ ฝึกฝนนี้ จะช่วยแพทย์วิเคราะห์และกลั่นกรองรายละเอียดที่ลึกซึ้งหรือไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในภาพถ่ายทางการแพทย์ อาทิ ภาพถ่าย MRI ภาพจาก CT Scan ฟิล์มเอ็กซเรย์ และภาพอัลตราซาวด์ โดยจะช่วยแยกแยะความแตกต่างระหว่างเนื้อเยื่อปกติกับเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อ และเชื่อมโยงสิ่งที่ตรวจพบเข้ากับข้อมูลเวชระเบียนและเอกสารอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์จำนวนมหาศาล ช่วยให้แพทย์สามารถตรวจพบปัญหาของผู้ป่วยได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว


การได้ยิน: คอมพิวเตอร์จะได้ยินสิ่งที่สำคัญ
ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า ระบบเซ็นเซอร์อัจฉริยะจะตรวจจับองค์ประกอบของเสียงต่างๆ เช่น ความดันของเสียง ความสั่นสะเทือน ความอัดแน่นในเนื้อวัตถุ และคลื่นเสียงที่มีความถี่หลายระดับ ในแนวทางที่คล้ายกับกับสมองของมนุษย์  และนำ แบบแผนข้อเท็จจริงอื่นๆ ดังเช่นข้อมูลภาพหรือสัมผัส เข้ามาพิจารณาประกอบกันเพื่อจำแนกและแปลความหมายของเสียงเหล่านั้นตามแนวทางที่เคยได้รับรู้ ในกรณีที่ตรวจพบเสียงใหม่ๆ ระบบก็จะสรุปข้อมูลอ้างอิงที่มีอยู่ พร้อมใช้ความสามารถในการจำแนกแบบแผนต่างๆ ช่วยให้เราสามารถเข้าใจความหมายของเสียงที่ไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้

เทคโนโลยีในการตรวจจับองค์ประกอบเสียงนี้ จะทำให้เราสามารถคาดการณ์เหตุอันตรายจากดินถล่มหรือต้นไม้ล้มในป่าเพื่อเตือนภัยได้อย่างทันท่วงที ทำให้พ่อแม่สามารถเข้าใจ เสียงพูดของทารกในรูปแบบของภาษา ตีความพฤติกรรมหรือความต้องการของเด็กทารก เช่น สิ่งที่เด็กทารกต้องการสื่อสารจากเสียงพูดอ้อแอ้ ความรู้สึกร้อน เหนื่อย หิว หรือเจ็บปวดจากเสียงร้องงอแง เป็นต้น โดยระบบจะเชื่อมโยงข้อมูลเสียงเหล่านั้นเข้ากับข้อมูลเกี่ยวกับความรู้สึกและสรีรศาสตร์อื่นๆ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ ชีพจร และอุณหภูมิร่างกาย

ในอีก 5 ปีข้างหน้า ความสามารถในการวิเคราะห์น้ำเสียงและระดับเสียงสูง-ต่ำของคอมพิวเตอร์ จะช่วยให้เราเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึก หรือแม้แต่สำเนียงที่ส่อถึงความลังเลในการสนทนาต่างๆ ช่วยให้เราสามารถปรับการสนทนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือปรับปรุงแนวทางการปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้บริการของเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการลูกค้า หรือช่วยให้การติดต่อสื่อสารกับคนต่างชาติ ต่างภาษา และต่างวัฒนธรรมเป็นไปอย่างราบรื่นขึ้น

ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ของไอบีเอ็มได้เริ่มบันทึกระดับเสียงต่างๆ ใต้ผิวน้ำในบริเวณอ่าวกัลเวย์ ประเทศไอร์แลนด์ โดยใช้เซ็นเซอร์ใต้น้ำตรวจจับคลื่นเสียงและส่งไปทำการวิเคราะห์ที่ระบบรับข้อมูล เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับเสียงและแรงสั่นสะเทือนของอุปกรณ์แปลงพลังงานคลื่น รวมถึงผลกระทบที่อุปกรณ์เหล่านี้มีต่อสัตว์ทะเล

การลิ้มรส: ปุ่มรับรสดิจิตอลจะช่วยให้คุณรับประทานอาหารอย่างชาญฉลาดขึ้น
ในอีก 5 ปีข้างหน้า คอมพิวเตอร์จะสามารถใช้อัลกอริธึมเพื่อระบุโครงสร้างทางเคมีที่แม่นยำของอาหาร ปฏิกิริยาที่สารเคมีต่างๆ มีต่อกัน ความซับซ้อนทางโมเลกุลของสารประกอบที่ก่อให้เกิดรสชาติ โครงสร้างที่เชื่อมโยงโมเลกุลเหล่านั้นเข้าด้วยกัน และสาเหตุที่ทำให้ผู้คนชื่นชอบรสใดรสหนึ่งเป็นพิเศษ  ร่วมกับองค์ความรู้ด้านจิตวิทยาที่อธิบายรสชาติและกลิ่นที่มนุษย์ชื่นชอบ  จากนั้นจึงนำไปเปรียบเทียบกับสูตรอาหารหลายล้านสูตร เพื่อคาดการณ์รสชาติที่ดึงดูดใจตลอดจนสร้างส่วนผสมของรสชาติแบบใหม่ เช่น รสชาติของเกาลัดคั่วที่ปรุงร่วมกับบีทรูทต้มสุก ไข่ปลาคาเวียร์ และแฮมตากแห้ง เป็นต้น

ระบบดังกล่าวจะนำเสนอรูปแบบการจับคู่อาหารที่แปลกออกไป ทั้งยังช่วยสร้างประสบการณ์ของรสและกลิ่นที่ดีขึ้น ช่วยให้เราสามารถปรุงอาหารเพื่อสุขภาพที่มีรสชาติถูกปากและถูกโภชนาการยิ่งขึ้น การสร้างสรรค์รสชาติแปลกใหม่จะทำให้เราอยากกินผักลวกต้มมากกว่าแผ่นมันฝรั่งอบกรอบ สำหรับผู้ที่มีความต้องการพิเศษในทางโภชนาการ เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน เทคโนโลยีดังกล่าวก็จะช่วยพัฒนารสชาติและสูตรอาหารที่หวานถูกปากแต่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ในขณะเดียวกัน


การดมกลิ่น: คอมพิวเตอร์จะสามารถดมกลิ่นได้
ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เซ็นเซอร์ขนาดจิ๋วในคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือจะสามารถ ดมและจำแนกกลิ่นที่ปกติหรือผิดปกติ และวิเคราะห์ร่วมกับตัวบ่งชี้ทางชีวภาพและโมเลกุลนับพันในลมหายใจของเรา เพื่อบอกได้ว่าเรากำลังป่วยเป็นไข้หวัดหรือโรคอื่นๆ หรือไม่  เซ็นเซอร์นี้ยังจะช่วยให้แพทย์สามารถตรวจสอบ และวินิจฉัยอาการของโรคต่างๆ เบื้องต้นได้ อาทิ ความผิดปกติของตับและไต โรคหอบหืด โรคเบาหวาน และโรคลมบ้าหมู รวมทั้งทำให้เกษตรกรสามารถวิเคราะห์สภาพดินที่ใช้ในการเพาะปลูก ความสามารถของเทคโนโลยีในตรวจวัดข้อมูลในพื้นที่ที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อน จะทำให้เราสามารถเข้าตรวจสอบปัญหาชุมชนแออัด สุขอนามัย และมลภาวะ เพื่อระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ก่อนที่จะลุกลามเป็นปัญหาร้ายแรง ขณะที่การใช้เครือข่าย “Mesh” ไร้สายจะช่วยให้เซ็นเซอร์สามารถรวบรวมและตรวจวัดข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีต่างๆ พร้อมเรียนรู้และปรับเข้าหากลิ่นใหม่ๆ ได้ในขณะเดียวกัน

ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ของไอบีเอ็มได้เริ่มนำนวัตกรรมนี้ไปใช้ในการรับรู้สภาวะแวดล้อมและก๊าซเพื่ออนุรักษ์ผลงานศิลปะ  และประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาสุขอนามัยในสถานพยาบาล ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาที่ท้าทายที่สุดของแวดวงการแพทย์ ดังกรณีของเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus หรือ MRSA ที่มักพบทั่วไปบนผิวหนังและแพร่กระจายผ่านการสัมผัสโดยตรง เชื้อนี้สามารถต้านทานยาเมธิซิลลินและเป็นสาเหตุในการคร่าชีวิตผู้ป่วยที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลในสหรัฐฯ เกือบ 19,000 คน เมื่อปี 2548 ซึ่งต่อมาพบว่าวิธีหนึ่งที่สามารถใช้ในการต่อสู้กับเชื้อนี้ในสถานพยาบาลได้ คือ การกำหนดให้บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนปฏิบัติตามแนวทางการรักษาสุขอนามัยในสถานพยาบาลอย่างเคร่งครัด  แต่ในอีกห้าปีข้างหน้า เทคโนโลยีของไอบีเอ็มจะสามารถเข้ามาช่วย ดมพื้นผิวที่ผ่านการทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค และระบุว่าห้องนั้นๆ สะอาดพอแล้วหรือยัง โดยที่บุคลากรและผู้ป่วยไม่ต้องเสี่ยงต่อการติดเชื้อ


 

วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

นวัตกรรมการสอนที่มีคุณภาพ (Quality Teaching Innovation)

การแจก Tablets การให้อิสระกับทรงผม และการลดการบ้านในส่วนของนักเรียน เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ประชาชนทั่วไปรับรู้ผ่านสื่อสารมวลชน รวมทั้งการเพิ่มเงินเดือน ค่าตอบแทน และตำแหน่งที่สูงขึ้นของครูและบุคลากรทางการศึกษาขั้นพื้นฐานจนมากกว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยและข้าราชการอื่นๆ ในกระทรวงศึกษาธิการ ล้วนเป็นกระบวนการของความพยายามที่จะทำให้เกิดคุณภาพทางการศึกษาที่ดีขึ้น โดยเฉพาะการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้เมื่อมีการจัดอันดับคุณภาพทางการศึกษาในประชาคมโลก

ปรากฏการณ์ต่างๆ ดังกล่าวที่รับรู้ได้นั้นเป็นเพียงส่วนย่อย (Atomistic) ของกระบวนการองค์รวม (Holistic) เพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา เนื่องจากคุณภาพการศึกษาเป็นเป้าหมายทางอุดมคติที่สูงมาก และต้องใช้กระบวนการบริหารจัดการที่ซับซ้อนเพื่อการดำเนินการให้เกิดคุณภาพทางการศึกษา จึงไม่อาจดำเนินการเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งหรือส่วนใดส่วนหนึ่งแล้วจะทำให้เกิดผลสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการตัดสินคุณค่าหรือการประเมินกระบวนการหรือส่วนย่อยต่างๆ เพียงส่วนเดียว ทั้งด้านบวกหรือด้านลบ ด้วยการใช้ความรู้ ประสบการณ์ สามัญสำนึก หรือใช้กระบวนการวิจัยก็ตาม จึงไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะส่งผลอ้างอิงไปถึงการยกระดับคุณภาพการศึกษาในองค์รวมได้

นวัตกรรมการสอนที่มีคุณภาพหรือ “Quality Teaching Innovation” เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นจากที่ประชุมโครงการส่งเสริมการวิจัยในอุดมศึกษา หรือ HERP (HERP = Higher Education Research Promotion) ครั้งที่ 1 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-23 มกราคม 2556 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม (HERP เป็นโครงการภายใต้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ได้จัดสรรทุนวิจัยและทุนการศึกษาระดับปริญญาเอกให้กับมหาวิทยาลัย 70 แห่ง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2554) โดยมี ดร.พิศิษฐ์ วรอุไร นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี เป็นผู้ริเริ่มให้นำ นวัตกรรมการสอนที่มีคุณภาพทดลองใช้กับมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต และมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ที่ท่านเคยเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏดังกล่าว การเลือกมหาวิทยาลัยราชภัฏทั้งสามแห่งดังกล่าวสำหรับการเริ่มต้นโครงการ นวัตกรรมการสอนที่มีคุณภาพเนื่องจากต้องการความร่วมมือจากผู้บริหารของมหาวิทยาลัยในการเริ่มต้น ประกอบกับมหาวิทยาลัยราชภัฏดังกล่าวมีชื่อเสียงและมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของการเป็นโรงเรียนฝึกหัดครู และพัฒนามาสู่การเป็นวิทยาลัยครู และเป็นสถาบันอุดมศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในปัจจุบันตามลำดับ
มหาวิทยาลัยราชภัฏจึงมีบุคลากรและองค์ความรู้สำหรับการสอนที่มีคุณภาพอยู่มาก นอกจากนั้นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏยังมีความหลากหลาย มีนักศึกษาที่มีความสามารถทางสติปัญญาสูงจำนวนมากที่สามารถจะเรียนสาขาวิชาที่เป็นที่นิยม ในมหาวิทยาลัยที่ได้รับความนิยม แต่พวกเขาเหล่านั้นเลือกที่จะเรียนมหาวิทยาลัยราชภัฏเพราะเป็นมหาวิทยาลัยในถิ่นฐานของตน นอกจากนั้นยังมีนักศึกษาที่สนใจหลักสูตรของมหาวิทยาลัยราชภัฏและตรงกับความต้องการ เนื่องจากมหาวิทยาลัยราชภัฏมีหลักสูตรที่หลากหลาย สามารถตอบสนองความต้องการทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติได้จำนวนมาก มีความเป็น Comprehensive University มากขึ้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องย้ายถิ่นฐานไปศึกษาที่อื่น และประการสำคัญมากคือ มหาวิทยาลัยราชภัฏเป็นสถานศึกษาของรัฐ มีค่าใช้จ่ายในการศึกษาไม่มาก และมีศักดิ์และสิทธิ์แห่งปริญญาเท่าเทียมกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ ทุกประการ จึงทำให้มีนักศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏที่มีความหลากหลายกว่ามหาวิทยาลัยอื่นๆ จากเหตุผลหลักด้านบุคลากรและองค์ความรู้ทางด้านคุณภาพทางการสอน กับความหลากหลายของนักศึกษา จึงทำให้มหาวิทยาลัยราชภัฏมีความเหมาะสมที่จะนำ นวัตกรรมการสอนที่มีคุณภาพมาทดลองใช้เพื่อพัฒนาเป็นรูปแบบของการเรียนการสอนที่มีคุณภาพสำหรับมหาวิทยาลัยราชภัฏอื่นๆและสถาบันอุดมศึกษาต่างๆที่ต้องการนำไปพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนต่อไปได้

การสร้างนวัตกรรมการสอนที่มีคุณภาพ

นวัตกรรมการสอนที่มีคุณภาพ นอกจากจะเป็นสิ่งใหม่ตามความหมายของความเป็น นวัตกรรมในลักษณะต่างๆ แล้ว (อ่านเพิ่มเติมได้ที่http://met.fte.kmutnb.ac.th/images/diffusion.pdf ) ยังต้องมีความสอดคล้องกับรูปแบบความสัมพันธ์ของคนในสังคมอีกด้วย นวัตกรรมการสอนที่มีคุณภาพ เป็นนวัตกรรมในรูปแบบของ ความคิดเชิงคุณภาพ” (Quality Thinking) ซึ่งเกิดจากกระบวนการสำคัญ 5 ขั้นตอน ได้แก่

1. ขั้นการสรุปบทเรียน (Lesson Learned) เป็นการรวบรวมองค์ความรู้ทางด้านการสอน จากการจัดกิจกรรมการสอน เทคนิคและวิธีการสอน สื่อการสอน และการวัดและประเมินผลที่ประสบความสำเร็จและสร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยราชภัฏมาโดยตลอด ในขั้นตอนนี้บุคลากรที่เคยสร้างผลงานการสอนที่มีคุณภาพ หรือบุคลากรประจำการที่มากด้วยประสบการณ์ควรได้รับการเชิญมาร่วมกันทำการ สรุปบทเรียน

2. ขั้นการถอดบทเรียน (Lesson Distilled) เป็นการกลั่นกรององค์ความรู้ต่างๆ จากการสรุปบทเรียนและเชื่อมโยงกับบริบททางสังคมที่เปลี่ยนไป ทั้งในรูปแบบของความสัมพันธ์ในสังคม วิถีชีวิตของอาจารย์และนักศึกษา เทคโนโลยีที่เหมาะสม ความพร้อมของฝ่ายสนับสนุน ตลอดจนระดับเศรษฐกิจหรือค่าใช้จ่ายของฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ นักศึกษา อาจารย์ และมหาวิทยาลัยที่จะสามารถรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ประเด็นสำคัญในขั้นนี้คือ ค่านิยมคุณภาพ ที่อาจมีความเห็นที่แตกต่าง เช่น ค่านิยมคุณภาพในด้านของความเป็นเลิศ (Excellence) หรือคุณภาพในด้านเพียงเพื่อการสนองได้ตรงตามความต้องการ (Fit to the Needs) ซึ่งต้องหาความพอดี หรือข้อตกลงระหว่างค่านิยมคุณภาพทั้งสองประการนี้ในบริบทของมหาวิทยาลัยราชภัฏให้ได้

3. ขั้นการเข้ารหัสนวัตกรรมการสอนที่มีคุณภาพ (Quality Teaching Innovation Encoded) เป็นขั้นที่เกิดรูปแบบนวัตกรรม ความคิดเชิงคุณภาพทางการสอน อาจเป็นกลุ่มของคำ วาทกรรม หรือเป็นภาษาคำพูดที่สามารถจดจำได้ง่าย อาจมีการสร้างสัญลักษณ์ (Symbol) หรือสัญรูป (Icon) เป็นตัวแทนของนวัตกรรมการสอนที่มีคุณภาพ ซึ่งจะสามารถจดจำนำไปใช้เป็นแนวทางของการจัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ อาจจะอยู่ในรูปของ Apps สำหรับ Tablets และ Smart Phones ในขั้นตอนนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เวลามาก อาจเกิดขึ้นพร้อมๆ กับขั้นของการถอดบทเรียน และเป็นผลของการที่ได้ถอดบทเรียนแล้ว การเข้ารหัสนวัตกรรมจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่ผ่านขั้นตอนของการสรุปบทเรียนและ ถอดบทเรียนมาก่อน (Apps หมายถึง Application Software เป็นโปรแกรมที่ออกแบบสำหรับการใช้งานตามจุดประสงค์เฉพาะกับอุปกรณ์เฉพาะอย่าง)

4. ขั้นการถอดรหัสนวัตกรรมการสอนที่มีคุณภาพ (Quality Teaching Innovation Decoded) สำหรับนำไปใช้ในการสอน จะเห็นว่านวัตกรรมการสอนที่มีคุณภาพนั้นไม่ได้เป็นชุดการสอน บทเรียนสำเร็จรูป หรือมอดูลเพื่อนำไปใช้สอน แต่เป็น รูปแบบความคิดทางการสอนที่ต้องนำไปถอดรหัสก่อน อาจารย์มหาวิทยาลัยมีความสามารถทางการสอนอยู่แล้ว มีความเชี่ยวชาญทางด้านเนื้อหา มีความเข้าใจบริบทของการเรียนการสอนในชั้นเรียนของตนอยู่แล้ว การมีรูปแบบนวัตกรรมการสอนเชิงความคิดไปใช้ด้วยการถอดรหัสตามบริบทและความถนัดของอาจารย์แต่ละท่าน อาจจะผ่านทาง Apps ต่างๆ จะเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความมั่นใจ กระตุ้นการปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนให้เกิดขึ้น

5. ขั้นการเผยแพร่นวัตกรรมการสอนที่มีคุณภาพ (Quality Teaching Innovation Diffusion) การเผยแพร่ให้เกิดการยอมรับนวัตกรรมการสอนที่มีคุณภาพ มีรูปแบบ วิธีการต่างๆ ทั้งกระบวนการทางบริหารและการสั่งการ ซึ่งผู้บริหารจะมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ด้วยวิธีการนี้ ทั้งในส่วนของการ สนับสนุนปัจจัยพื้นฐานของการใช้นวัตกรรม และรวมทั้งการกำหนดมาตรการต่างๆ ทางการบริหารจัดการเพื่อการส่งเสริมการใช้นวัตกรรม การได้รับความร่วมมือจากผู้บริหารจึงมีความจำเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นยังมีกระบวนการทางสังคม และกระบวนการเผยแพร่ที่ใช้วิธีการเชิงวิทยาศาสตร์เพื่อการเผยแพร่นวัตกรรม 

การถอดรหัสนวัตกรรมการสอนที่มีคุณภาพ (Quality Teaching Innovation Decoded) เป็นภารกิจที่ขึ้นอยู่กับสมรรถนะทางการสอน และความรับผิดชอบของอาจารย์ผู้สอน ซึ่งจะสอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะการจะเผยแพร่นวัตกรรมการสอนที่มีคุณภาพให้กับอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏนั้นต้องยอมรับความเป็นจริงว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยเชื่อมั่นในการสอนของตนเองมาก การหยิบยื่นนวัตกรรมการสอนสำเร็จรูปให้นอกจากจะไม่เหมาะสมแล้วยังไม่สอดคล้องกับบริบทในบทบาทของการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยอีกด้วย

การนำเสนอนวัตกรรมในรูปแบบ ความคิดเชิงคุณภาพของการสอน เพื่อให้อาจารย์นำไปถอดรหัสแล้วเลือกกระบวนการเรียนการสอนที่เหมาะสมแก่ตนเองจะเป็นแนวทางที่ประสบความสำเร็จได้อย่างมาก และยังนำไปสู่การวิจัยต่อยอดทางด้านการสอนได้อีกมากเช่นกัน ภารกิจที่สำคัญของมหาวิทยาลัยราชภัฏทั้งสามแห่งที่เข้าร่วมโครงการ "นวัตกรรมการสอนที่มีคุณภาพ" คือ ต้องค้นหา หรือพัฒนานวัตกรรมการสอนที่มีคุณภาพให้เกิดขึ้นให้ได้เสียก่อน ถึงแม้จะเป็นองค์ประกอบย่อย ระดับ Atomistic ขององค์รวมคุณภาพของการศึกษาระดับHolisticก็ตาม

การช่วยกันเริ่มต้นลงมือทำสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่าองค์ประกอบย่อย (Atomistic) ให้ดีก่อน แล้วค่อยๆ พัฒนาขยายออกไปให้ใหญ่ขึ้นและกว้างขวางมากขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาแบบองค์รวม (Holistic)เป็นความคิดที่อยู่เบื้องหลังของโครงการนี้

อ้างอิง    :             รองศาสตราจารย์ ดร.กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์

                http://www.thairath.co.th/content/324340

ปฏิวัติวงการสื่อการเรียนการสอน ด้วยแนวคิด Learning Ecosystem - วิถีการเรียนรู้แบบครบวงจร


อักษรเจริญทัศน์ อจท. ปฏิวัติวงการสื่อการเรียนการสอนด้วยแนวคิด“Learning Ecosystem - วิถีการเรียนรู้แบบครบวงจรพร้อมเปิดตัว “Aksorn Twig – อักษร ทวิกนวัตกรรมการศึกษาออนไลน์ระดับโลก
อักษรเจริญทัศน์ อจท. ผู้นำด้านการผลิตสื่อการเรียนการสอนครบวงจร โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อจท. ได้ใช้นวัตกรรมความรู้และความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้กับผู้เรียนและผู้สอน อาทิ การออกแบบคู่มือครูและแผนการเรียนรู้เพื่อช่วยครูในการเตรียมการเรียนการสอนในชั้นเรียน, การเป็นผู้นำในการออกแบบหนังสือเรียนในรูปแบบพิมพ์ 4 สีทั้งเล่ม หรือการนำภาพ infographic เข้ามาประกอบในบทเรียนเพื่อสร้างความน่าสนใจและทักษะการคิดวิเคราะห์ให้กับผู้เรียน เป็นต้น และสำหรับ “Learning Ecosystem - วิถีการเรียนรู้แบบครบวงจรถือเป็นการปฏิวัติวงการสื่อการเรียนการสอนอีกครั้งโดยการบูรณาการองค์ความรู้ผ่านสื่อต่างๆ เพื่อช่วยให้เกิดประสิทธิภาพและแรงบันดาลใจในการเรียนรู้อย่างสูงสุดผ่านสื่อการเรียนการสอนต่างๆ อาทิ คู่มือครู, หนังสือเรียน, สื่อหนังสือเสริมความรู้อิงหลักสูตร, สื่อวีดีโอ, สื่อดิจิตอล และสื่ออินเตอร์แอคทีฟ อื่นๆ อันจะนำไปสู่ระบบการเรียนรู้ที่เสริมสร้างทักษะสำหรับเด็กไทยรุ่นใหม่ที่ต้องพร้อมสำหรับสนามแข่งขันระดับโลก และเพื่อเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมการเรียนรู้ อักษรเจริญทัศน์ อจท. ได้เปิดตัว อักษร ทวิก” (Aksorn Twig) ภาพยนตร์สารคดีสั้นเพื่อการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ออนไลน์จาก ทวิก เวิลด์” (Twig World) ผู้นำด้าน การผลิตภาพยนตร์สารคดีสั้นและสื่อการเรียนการสอนแห่งประเทศสหราชอาณาจักร เป็นสื่อการเรียนรู้แห่งโลกยุคดิจิทัล ที่ตอบโจทย์เป้าหมายการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งมุ่งเน้นให้ผู้เรียนศึกษาครบทุกมิติโดยมีรูปแบบเป็นภาพยนตร์สารคดีสั้นความยาวสามนาทีสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันเพื่ออธิบายบทเรียนที่มีเนื้อหาซับซ้อนให้เข้าใจง่ายในรูปแบบที่น่าสนใจ ภาพยนตร์สารคดีกว่า 2,000 เรื่องของ อักษร ทวิกที่ครอบคลุมสาระการเรียนรู้ทั้งวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และสังคมศึกษา พัฒนาขึ้นภายใต้คำแนะนำจากคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ อาทิเช่น มหาวิทยาลัย อ็อกซ์ฟอร์ด มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ รวมทั้งผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ชั้นเยี่ยม ซึ่งตลอดกระบวนการผลิต ได้มีการตรวจสอบ และประเมินเนื้อหาทั้งหมด โดยครูผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาจากโรงเรียนระดับแนวหน้าของอังกฤษก่อนที่จะนำเสนอบน เว็บไซต์
ภาพยนตร์สารคดีทุกเรื่องผลิตขึ้นจากสารคดีชั้นเยี่ยมของโลก อาทิเช่น พิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์บีบีซี องค์การนาซ่า สถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเค เป็นต้น ซึ่งแต่ละภาพยนตร์สารคดีสั้นยังประกอบด้วยบทสรุปสาระสำคัญ ข้อเท็จจริงน่ารู้ คลิปวีดีโออธิบายศัพท์สำคัญบทบรรยาย ตลอดจนแบบฝึกหัดทั้งระดับทั่วไปและขั้นสูง เพื่อตอกย้ำความเข้าใจและความแม่นยำในเนื้อหาสาระของผู้เรียน ด้วยการนำเสนอที่กระชับเข้าใจง่าย และมีระบบที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถคว้ารางวัลด้านสื่อการเรียนการสอนชั้นนำของโลกมากมาย อาทิเช่น เบ็ต อะวอร์ (BETT Award) ทีชเชอร์ส ช้อยส์ อะวอร์ด (Teacher’s Choice Award) เอ็ดดูเคชั่น รีซอร์ส อะวอร์ด (Education Resource Award) เป็นต้น โดยปัจจุบัน ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ ถึง 13 ภาษาและเผยแพร่ใน 35 ประเทศทั่วโลก
คุณตะวัน เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทอักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด กล่าวว่า เพื่อเป็นการต่อยอดความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการศึกษาอันดับหนึ่งของประเทศไทย ทางบริษัทฯได้นำสื่อการเรียนการสอนในรูปของภาพยนตร์สารคดีสั้นทวิกมาดำเนินการแปลและเรียบเรียง พร้อมพากย์เสียงในฉบับภาษาไทยโดยคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชานั้นๆ และนำเสนอในนาม อักษร ทวิกด้วยคุณภาพของภาพยนตร์สารคดีสั้นและวิธีการนำเสนอที่ดีเยี่ยม อักษร ทวิกจะทำหน้าที่เป็นสื่อการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพภายใต้แนวคิด “Learning Ecosystem - วิถีการเรียนรู้แบบครบวงจรสำหรับครูและนักเรียนทั้งในและนอกห้องเรียน ทำให้นักเรียนเข้าใจหลักการสำคัญของวิชาต่างๆ ที่กำลังศึกษาอยู่ได้อย่างสัมฤทธิผล

อ้างอิง :  http://www.newswit.com/gen/2013-10-29/8812273070a252f7f98030430c1f5622/