วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2557

prototype ต้นแบบผลิตภัณฑ์กับกระบวนการ R&D



ในยุคที่ลูกค้าสำคัญที่สุดสำหรับธุรกิจ และเป็นยุคที่ความต้องการในตลาดเปลี่ยนแปลงแทบจะรายวัน การคิดนวัตกรรมใหม่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการหรือผู้บริหารในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค การวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือ R&D จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กรในยุคใหม่เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
ในกระบวนการทำ R&D ทั้งหมดจะมีอยู่ขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญมากในการพัฒนานวัตกรรม นั่นก็คือกระบวนการสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์ หรือที่เรียกว่า Prototype

prototype ช่วยให้นักออกแบบและวิศวกรสามารถสำรวจการออกแบบ ทดสอบตามทฤษฏี หรือยืนยันประสิทธิภาพก่อนที่จะเริ่มต้นการผลิตสินค้าจริง
ในขั้นตอนของการทำ R&D นั้น เมื่อตกผลึกทางความคิดรายละเอียดของผลิตภัณฑ์แล้วก็จะนำไปสู่การสร้าง prototype หรือต้นแบบของผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นเครื่องมือในการวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ต้นแบบของสินค้าช่วยให้นักออกแบบและวิศวกรสามารถสำรวจการออกแบบ ทดสอบตามทฤษฏี หรือยืนยันประสิทธิภาพก่อนที่จะเริ่มต้นการผลิตสินค้าจริง
ประโยชน์ของการใช้ต้นแบบผลิตภัณฑ์ช่วยในการตรวจสอบแนวความคิด (Proof of concept) ว่าสิ่งที่ถูกออกแบบมานั้นถูกต้องตามที่คิดไว้หรือไม่ ทั้งเรื่องรูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์ วัสดุที่ใช้ในการผลิต กระบวนการในการผลิต ระบบหรือเทคโนโลยีที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ ต้นแบบผลิตภัณฑ์เป็นเครื่องมือในการศึกษาประสบการณ์การใช้งานของผู้บริโภค การที่นักออกแบบได้จับสัมผัสกับรูปทรงผลิตภัณฑ์ วิศวกรลองใช้งานจากตัวต้นแบบก็จะทำให้เรียนรู้ประสบการณ์การใช้งานอย่างชัดเจนขึ้น
ต้นแบบผลิตภัณฑ์ยังช่วยให้การสื่อสารชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อต้องมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่กับผู้บริหาร พันธมิตรทางธุรกิจ ผู้ร่วมลงทุน หรือลูกค้า เพราะการแสดงผลิตภัณฑ์ให้มองเห็นได้ทั้ง 3 มิติช่วยให้ง่ายต่อการเข้าใจมากกว่าการอธิบายตามคำพูด หรือแม้แต่การวาดภาพร่างผลิตภัณฑ์ลงบนกระดาษก็ตาม นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นเมื่อผลิตภัณฑ์นั้นนำไปผลิตเป็นสินค้าจริง และทำให้วิศวกรหรือนักออกแบบได้ทราบข้อจำกัดการใช้งานต่างๆ ของสินค้าจากต้นแบบ

Samsung มีทรัพยากรสำคัญคือทีมนักวิจัยและวิศวกรกว่า 42,000 คนทั่วโลก มีศูนย์วิจัย 42 แห่งทั่วโลก
ภาคธุรกิจกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีและอิเล็กทรอนิกส์มักให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นอย่างมาก มีการสร้างทีมวิจัยและพัฒนาภายในบริษัท หรือแสวงหาความร่วมมือกับองค์กรอื่นเพื่อร่วมกันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี หรือผลิตภัณฑ์ร่วมกัน บริษัท Samsung Electronics (ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์) ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เป็นอีกบริษัทที่ทุ่มงบให้กับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ถึงเก้าพันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2011 และในปี 2012 นี้ Samsung วางแผนงบประมาณให้กับการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นอีกกว่าหนึ่งหมื่นหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ยอดขายโทรศัพท์มือถือ Samsung แซงแชมป์ตลอดกาลอย่างโนเกียไป
samsung
ความสำเร็จของโทรศัพท์มือถือ Samsung มาจากการที่ให้ความสำคัญในเรื่องนวัตกรรมมาเป็นอันดับต้นๆ มีการวิจัยพัฒนาให้เกิดผลิตภัณฑ์หรืออุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาชิพหรือหน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED และไม่ละเลยที่จะทำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้อย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทสามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้อย่างรวดเร็ว Samsung สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือในองค์กรและคู่ค้า การสร้างเครือข่ายการวิจัยและพัฒนา ความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีแก่ลูกค้า ดังนั้นการวิจัยและพัฒนาจึงเป็นหัวใจหลักในการดำเนินธุรกิจของ Samsung

Samsung มีทรัพยากรสำคัญนั่นคือ ทีมนักวิจัยและวิศวกรกว่า 42,000 คนทั่วโลก มีศูนย์วิจัย 42 แห่งทั่วโลก Samsung Telecommunications เป็นหน่วยงานหนึ่งภายใต้ Samsung Electronics ที่มุ่งวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ ตั้งอยู่ที่เมืองซูวอน เกาหลีใต้ ในการวิจัยและพัฒนาโทรศัพท์มือถือ Galaxy SIII บริษัทได้สร้างทีมวิจัยเล็กๆ ขึ้นมาประกอบด้วยนักวิจัย 6 คน นักวิจัยกลุ่มนี้จะทำงานในพื้นที่ลับเฉพาะ ทุกคนห้ามไม่ให้พูดคุยกับเพื่อนหรือครอบครัวเกี่ยวกับการพัฒนา Galaxy SIII นอกจากนี้ยังห้ามถ่ายภาพภายใน ห้ามไม่ให้แผนกอื่นเห็นส่วนใดส่วนหนึ่งของโทรศัพท์ นักวิจัยแต่ละคนจะมีคีย์การ์ดส่วนตัวเพื่อเข้าห้องแล็ป และห้ามนักวิจัยนำต้นแบบโทรศัพท์ขึ้นมาแสดง แม้ในระหว่างการวิจัยจะมีปัญหาใดเกิดขึ้นก็ต้องใช้เพียงคำพูดหรือภาษาท่าทางเพื่อสื่อสารถึงปัญหาที่เกิดขึ้น 

การสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์เริ่มตั้งแต่การออกแบบ การทดสอบ ประเมินผล และปรับเปลี่ยนแก้ไขการออกแบบซึ่งวิเคราะห์จากต้นแบบโทรศัพท์ 
ในการสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์ของ Galaxy SIII ต้นแบบโทรศัพท์ถูกสร้างไว้ถึง 3 เครื่อง โดยแต่ละเครื่องมีฟังก์ชั่นการใช้งานแตกต่างกัน ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ความลับของสินค้ารั่วไหลไปถึงคู่แข่งหรือสื่อมวลชนอีกด้วย การสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์เริ่มตั้งแต่การออกแบบ การทดสอบ ประเมินผล และปรับเปลี่ยนแก้ไขการออกแบบซึ่งวิเคราะห์จากต้นแบบโทรศัพท์ ในช่วงสุดท้ายของออกแบบวิศวกรยังต้องทำให้ต้นแบบทั้ง 3 เครื่องมีฮาร์ดแวร์ที่แตกต่างกัน วิศวกรที่ต้องนำโทรศัพท์ต้นแบบไปทดสอบจะต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์เพื่อไปทดสอบผลิตภัณฑ์ที่อาคารอื่นของ Samsung แล้วยังต้องทำกล่องปลอมสำหรับใส่โทรศัพท์ต้นแบบทั้ง 3 เครื่องในระหว่างการเดินทางไปทดสอบอีกด้วย ที่ต้องทำกันขนาดนี้เพราะ Samsung ป้องกันไม่ให้ต้นแบบโทรศัพท์ไปตกหล่นในสถานที่อื่นๆ

การสร้าง Prototype Galaxy SIII ถึง 3 เครื่องเพื่อการวิจัยและพัฒนาสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ของ Samsung และพร้อมส่งมอบคุณค่าของสินค้าถึงมือผู้บริโภค นอกจาก Samsung แล้วทุกวันนี้องค์กรหลายแห่งให้สำคัญกับการวิจัยและพัฒนามากขึ้นก็เพื่อต้องการให้สินค้าตอบสนองความต้องการผู้บริโภคมากที่สุด ช่วยลดต้นทุนให้กับองค์กร บริษัทขายสินค้าได้ก็จะมีเงินทุนหมุนเวียนในการบริหารงาน และสามารถกระจายการลงทุนไปสู่ธุรกิจใหม่ เพื่อดำรงรักษาบริษัทให้อยู่รอดและพัฒนากิจการให้เจริญเติบโตต่อไป
ที่มา : http://incquity.com/articles/prototype-and-rd

ครูควรสอนเด็กอย่างไรในศตวรรษที่ 21

เปิด 6 อุปสรรคการทำงานครูไทย เมื่อการเรียนรู้ของเด็กยุคใหม่ไม่เหมือนเดิม พบปัญหาครูถูกเบียดเวลาสอน จำนวนครูไม่เพียงพอ ขาดทักษะไอที ขณะที่ปัจจัยส่งเสริมการทำงาน 39% ต้องการยกระดับการเรียนรู้เพื่อพัฒนาศิษย์ พร้อมเสนอ 7 วิธีพัฒนาทักษะครูไทยสู่ศตวรรษที่ 21 " รู้จักตั้งคำถาม-สอนให้เด็กคิดเป็น"
 


ดร.รุ่งนภา จิตรโรจนรักษ์ นักวิชาการยุทธศาสตร์ส่งเสริมการเรียนรู้ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน กล่าวว่า เนื่องในวันครูแห่งชาติ ปี 2556 สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชนได้สำรวจความเห็นของครูสอนดีจำนวน 210 คน โดยกลุ่มตัวอย่างกระจายใน 4 ภูมิภาคของประเทศ เพื่อสอบถามถึงปัจจัยที่เป็นอุปสรรคของการทำหน้าที่ครู และแนวทางการส่งเสริมครูให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งพบ 6 ปัญหาสำคัญที่กลายเป็นอุปสรรคของการทำหน้าที่ครู ประกอบด้วย 1) ภาระหนักนอกเหนือจากการสอน 22.93% 2) จำนวนครูไม่เพียงพอ สอนไม่ตรงกับวุฒิ 18.57% 3) ขาดทักษะด้านไอซีที 16.8% 4) ครูรุ่นใหม่ขาดจิตวิญญาณ ขณะที่ครูรุ่นเก่าไม่ปรับตัว 16.49% 5) ครูสอนหนัก ส่งผลให้เด็กเรียนมากขึ้น 14.33% และ 6) ขาดอิสระในการจัดการเรียนการสอน 10.88%


UploadImage

ดร.รุ่งนภา กล่าวว่า สำหรับปัจจัยส่งเสริมการทำหน้าที่ของครูให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้นพบว่า อันดับ 1 คือการอบรม แลกเปลี่ยน และสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ 19.32%, การพัฒนาตนเองในเรื่องไอซีที 19%, การเพิ่มฝ่ายธุรการ 18.01%, ปรับการประเมินวิทยฐานะ 17.12%, การลดชั่วโมงการเรียนการสอนของครูและการเรียนของเด็ก 13.42% และการปลดล็อคโรงเรียนขนาดเล็ก 13.13% จะเห็นได้ว่าปัจจัยฉุดรั้งการทำงานของครูไทยมีทั้งปัจจัยที่มาจากครูผู้สอน และปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยส่งเสริมที่ครูต้องการพบว่า 39% เป็นปัจจัยเพื่อการพัฒนากระบวนการสอน เพื่อถ่ายทอดความรู้แก่ศิษย์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นจึงสะท้อนให้ถึงจิตวิญญาณของความเป็นครู


นพ.วิจารณ์ พานิช ผู้ทรงคุณวุฒิ สสค. กล่าวว่า การสอนของครูในปัจจุบันพบว่า ครูเกือบ 100% ยังถ่ายทอดความรู้แบบสอนวิชา ส่งผลให้เด็กมีคุณสมบัติที่น่ากลัวที่สุด คือขาดภาวะผู้นำ เด็กจะมีทักษะความเป็นผู้นำได้ก็ต่อเมื่อมีความมั่นใจในตัวเอง มีความคิดเป็นของตัวเอง วิธีการเรียนรู้ของเด็กในยุคใหม่จึงต้องเรียนโดยลงมือทำ ฝึกให้ปฏิบัติจริงและมีการแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น แต่ไม่ควรปล่อยให้เด็กเรียนเอง ครูต้องออกแบบการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับระดับพัฒนาการของเด็ก สามารถประเมินลูกศิษย์แต่ละคนได้ว่ามีพื้นความรู้เพียงใด เพื่อออกแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน และประเมินความก้าวหน้าของเด็กแต่ละกลุ่ม

 
UploadImage

ด้าน ศ.ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า ครูไทยยุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 ต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้ถ่ายทอดความรู้เป็นผู้อำนวยความรู้ ซึ่งในปัจจุบันเริ่มมีการพูดถึงทักษะของเด็กในศตวรรษที่ 21 แต่ยังไม่มีคู่มือประกอบแนวทางการพัฒนาทักษะครูให้พร้อมต่อการเรียนการสอนในยุคสมัยใหม่ ครูไทยจำนวนมากจึงเหมือนถูกปล่อยอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ทั้งนี้แนวทางในการพัฒนาทักษะครูไทยในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วยทักษะ 7 ด้าน ได้แก่ 1.ทักษะในการตั้งคำถาม เพื่อช่วยให้ศิษย์กำหนดรู้เป้าหมายและคิดได้ด้วยตนเอง 2.ทักษะที่สอนให้เด็กหาความรู้ได้ด้วยตัวเองและด้วยการลงมือปฏิบัติ 3.ทักษะในการคัดเลือกความรู้ ตามสภาพแวดล้อมจริง 4.ทักษะในการสร้างความรู้ ใช้เกณฑ์การทดสอบและตรวจสอบความถูกต้องอย่างไร เพื่อทำให้ศิษย์เกิดความเข้าใจอย่างชัดแจ้ง 5.ทักษะให้ศิษย์คิดเป็น หรือตกผลึกทางความคิด 6.ทักษะในการประยุกต์ใช้ และ 7.ทักษะในการประเมินผล ซึ่งครูยุคใหม่จำเป็นต้องมีทักษะทั้ง 7 ด้านในการเป็นผู้อำนวยความรู้ให้เด็ก แทนที่จะเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้เหมือนก่อน

ที่มา :  
http://www.jsfutureclassroom.com/news_detail.php?nid=298

ทักษะการทำงานในปี 2020


UploadImage


ทักษะการทำงานในปี 2020


            สถาบัน  Apollo Research Institute ได้


ทำการวิจัยเกี่ยวกับทักษะการทำงานในอนาคต 
สำหรับคนทำงานปี 2020 สรุปได้ว่ามีทักษะที่จำเป็นทั้งหมด 10 อย่าง ที่คนทำงานต้องมี ต้องเป็น ต้องเก่ง ถึงจะทำงานได้ดี และเป็นที่ต้องการตัวในตลาดงาน ซึ่งทักษะที่ว่านี้มีอะไรบ้าง 


1. Sense-making ความสามารถในการวิเคราะห์ หรือแปลความหมายได้ลึกซึ้งในเรื่องต่างๆ


2. Social intelligence ความสามารถในการเชื่อมต่อไปยังผู้อื่นในทางลึกและทางตรง เพื่อกระตุ้นปฏิกิริยาและการมีปฏิสัมพันธ์ในเชิงบวก

3. Novel and adaptive thinking ความสามารถในการคิดที่มาพร้อมกับการแก้ปัญหาและการตอบสนอง ซึ่งเป็นความสามารถที่มากกว่าการท่องจำหรือตามทำกฎระเบียบ

4. Cross-cultural competency ความสามารถในการดำเนินงานในสภาพวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน

5. Computational thinking ความสามารถในการแปลข้อมูลมาเป็นแนวคิด และเข้าใจเหตุผลตามฐานข้อมูลที่มี

6. New media literacy ความสามารถในการพัฒนาเนื้อหา และยกระดับให้เป็นสื่อสำหรับการสื่อสารเพื่อโน้มน้าวใจ

7. Transdisciplinarity ความรู้ความสามารถในการเข้าใจแนวคิดข้ามศาสตร์หลายสาขาวิชา

8. Design mindset ความสามารถในการเป็นตัวแทน และพัฒนากระบวนการเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ

9. Cognitive load management ความสามารถในการแยกแยะ และกลั่นกรองข้อมูลที่มีความสำคัญ ตลอดจนเข้าใจถึงวิธีการเพิ่มปัญญา โดยใช้เครื่องมือและเทคนิคที่หลากหลาย

10. Virtual collaboration ความสามารถในการทำงานแบบเป็นทีม และสร้างความผูกพันในหมู่คณะให้เกิดขึ้น


ที่มา :  http://www.jsfutureclassroom.com/news_detail.php?nid=350

“นวัตกรรม”




นวัตกรรม หมายถึง ความคิดและการกระทำใหม่ ๆ ที่นำมาใช้ในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการดำเนินงาน
ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
                นวัตกรรมทางการศึกษา หมายถึง ความคิดและวิธีการใหม่ ๆ ที่ส่งเสริมให้กระบวนการศึกษา
มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เช่น การสอนแบบโปรแกรม (Program Instruction) เครื่องช่วยสอน (Teaching Machine)

        ข้อสังเกตเกี่ยวกับสิ่งที่ถือว่าเป็นนวัตกรรม
                  1. เป็นความคิดและการกระทำใหม่ทั้งหมดหรือปรับปรุงดัดแปลงจากที่เคยมีมาก่อนแล้ว
                  2. ความคิดหรือการกระทำนั้นมีการพิสูจน์ด้วยการวิจัยและช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
                  3. มีการนำวิธีระบบมาใช้อย่างชัดเจน โดยพิจารณาองค์ประกอบทั้ง 3 ส่วน คือ
ข้อมูลที่ใส่เข้าไป กระบวนการ และผลลัพธ์
                  4. ยังไม่เป็นส่วนหนึ่งของระบบงานปัจจุบัน

      ขั้นตอนของการเกิดนวัตกรรม
                  1. ขั้นการประดิษฐ์คิดค้น (Invention)
                  2. ขั้นการพัฒนาการ (Development) หรือขั้นการทดลอง (Pilot Project)
                  3. ขั้นการนำไปหรือปฏิบัติจริง (Innovation)
           
                   นวัตกรรมเป็นคำที่ใช้ควบคู่กับเทคโนโลยีเสมอ ดังแผนภูมิต่อไปนี้ 
                                
           จะเห็นได้ว่าเป้าหมายของนวัตกรรมและเทคโนโลยี คือ ทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยความคิดหรือการกระทำใหม่ ๆ จะถูกนำมาใช้ก่อนจนกว่าจะถูกกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบงานในปัจจุบัน
ความคิดหรือการกระทำใหม่ ๆ ที่เรียกว่า นวัตกรรมนั้นก็จะกลายเป็นเทคโนโลยีขึ้นมาทันที
     ปัญหาและอุปสรรคทางการศึกษา
       
            การพัฒนาการศึกษา มีปัญหาและอุปสรรคสำคัญ 4 ประการ คือ
                1. ปัญหาบุคคล ได้แก่ ผู้บริหาร ผู้สอน และผู้เรียน
                2. ปัญหาเครื่องมือ ได้แก่ ศักยภาพและประสิทธิภาพของเครื่องมือหรือสื่อการศึกษา
                3. ปัญหางบประมาณ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการจัดการหรือการบริหารงานการศึกษา
                4. ปัญหาวิธีการ ได้แก่ วิธีการหรือช่องทางที่จะทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 
ที่มา : http://reg.ksu.ac.th/teacher/sudatip/elearning_files/data1.html

Opportunity Recognition

การรับรู้ถึงโอกาส (Opportunity Recognition)


นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักจะถูกถามว่า เพราะเหตุใดถึงประสบความสำเร็จในธุรกิจ ?…นักธุรกิจที่ถูกสัมภาษณ์มักจะตอบอว่า เป็นเพราะโชคเข้าข้างและ โอกาสวิ่งเข้ามาหาพอดี” …จนนักธุรกิจยุคใหม่หลายคนที่ต้องการประสบความสำเร็จต่างนอนฝันและรอโอกาสที่จะวิ่งเข้ามาชนกับตัวเองบ้าง เพื่อที่จะได้กลายเป็นนักธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จคนต่อไป ซึ่งเป็นวิธีการคิดที่ผิด….!  เป็นไปได้จริงหรือนี่  ?.. มันเป็นไปได้อย่างไร ?..คนเราจะประสบความสำเร็จโดยที่ไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย  ?…เพียงแค่รอโอกาสให้วิ่งมาหาเท่านั้นหรือ  ?… ซึ่งในโลกบนความเป็นจริงเป็นไปไม้ได้เลย.. นอร์แมน ออกัสติน อตีตประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหารของ Logkheed  Martin ได้กล่าว่า
สิ่งที่สำคัญก็คือ เราต้องฉลาดพอที่จะรับรู้ว่า สิ่งนั้นจะเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่เมื่อเราเห็นมันอยู่ตรงหน้า” (Norman Augustine)
การที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจได้นั้นคือ การริเริ่มสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับตัวเอง การมองไปที่ภาพรวมของผลิตภัณฑ์ว่ามีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง ?   สิ่งแรกที่ต้องเริ่มทำก่อนคือ ทำการสำรวจความต้องการทางตลาดหรือความต้องการของลูกค้าเสียก่อนว่า ลูกค้าต้องการอะไร ต้องการมากขนาดไหน จากนั้นจึงมาดูในส่วนที่เกี่ยวกับตัวธุรกิจและผลิตภัณฑ์ของว่าสามารถตอบสนองความต้องการในส่วนนั้นได้มากขนาดไหนและอย่างไร แล้วจึงเริ่มลงมือวางแผนและเขียนแผนธุรกิจที่เหมาะกับตัวธุรกิจมากที่สุด
ค้นหาจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่เป็นความสามารถเฉพาะ  ที่เหนือกว่าผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งออกมานำมาเสนอให้ได้  มีพลังในการสร้างแรงดึงดูดให้กับผู้บริโภคหรือลูกค้า   สามารถตอบโจทย์ของลูกค้าได้ ว่าทำไมจึงต้องใช้สินค้าของทางบริษัท และสินค้าจะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างไร นอกจากนี้ต้องมีความรอบรู้ในด้านข้อมูลต่างๆที่มีความจำเป็นต่อการสร้างโอกาสทางธุรกิจ เช่น ข้อเด่น ขอด้อย ของผลิตภัณฑ์ ความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับการตลาด การจัดการในบริษัท รวมถึงวิธีการจัดเก็บข้อมูลอื่นๆที่มีความสำคัญที่สามารถนำมาใช้ช่วยสร้างโอกาสในธุรกิจด้วย…    การสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่นั้น เป็นเรื่องที่สามารถจะทำให้เกิดขึ้นได้ด้วยตัวของผู้ประกอบการเอง      และควรมีการประเมินโอกาสทางธุรกิจ โดยตั้งคำถามที่สำคัญ 3 ข้อคือ
-มีความเหมาะสมของนวัตกรรมกับกลยุทธ์ขององค์กร
-มีความสามารถด้านเทคนิคขององค์กรในการสร้างนวัตกรรม
-มีความสามารถทางด้านธุรกิจที่ส่งผลให้นวัตกรรมประสบความสำเร็จ
 ผู้ประกอบการสามารถปฏิบัติตามได้ดังนี้ รับรองว่าจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนที่สุด

ที่มา  :  http://ratcha2000.wordpress.com



ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม

ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม

        


            การเรียนรู้ทักษะของนักเรียนในศตวรรษที่ 21 นั้นการจัดการเรียนรู้ควรคำนึงถึง มาตรฐานการเรียนการสอนศตวรรษที่ 21 การประเมินผลหลักสูตรการเรียนการสอน การพัฒนาอาชีพและสภาพแวดล้อม การเรียนรู้จะต้องสอดคล้องกับระบบการจัดการเรียนการสอน ดังนั้น ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม มีความสำคัญและจำเป็นต่อการเปลี่ยนแปลงระบบการเรียนการสอน หรือการศึกษาในศตวรรษที่ 21
        ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมสำหรับนักเรียนในศตวรรษที่ 21เป็นทักษะที่มีความพร้อมสำหรับการดำรงชีวิตที่ซับซ้อนมากขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในการทำงาน โดยมุ่งเน้นด้านความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสาร การคิดเชิงวิเคราะห์และการทำงานร่วมกัน เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับนักเรียนในอนาคต
        ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมคือ การใช้ความหลากหลายของเทคนิคการใช้ความคิด (การระดมความคิด ) การสร้างสรรค์ความคิดใหม่ๆ ที่คุ้มค่า วิเคราะห์และประเมินผลความคิดของตนเอง เพื่อปรับปรุงและเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ของตนอยู่ตลอดเวลา การทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ การสื่อสารความคิดใหม่ๆร่วมกัน เปิดกว้างและตอบสนองมุมมองใหม่ๆ มีการเสนอแนะในการทำงานร่วมกัน  แสดงให้เห็นถึงความคิดริเริ่มและสร้างสรรค์ในการทำงานและเข้าใจข้อจำกัด ในโลกปัจจุบันจริงที่จะใช้ความคิดใหม่ดูความล้มเหลวเป็นโอกาสที่จะเรียนรู้ เข้าใจว่าความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเป็นกระบวนการวัฏจักรของความสำเร็จและมีความผิดพลาดเล็ก ๆ บ่อยอยู่บ้าง
                   การใช้ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม  
การคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหา
การใช้เหตุผลอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้เหตุผลในการทำงานตามความเหมาะสมกับสถานการณ์
ใช้การคิดเชิงระบบ  วิเคราะห์ แยกแยะ  เพื่อสร้างผลลัพธ์โดยรวมในระบบที่ซับซ้อน
ให้คำตัดสินและการตัดสินใจ  ได้อย่างมีประสิทธิภาพในการวิเคราะห์และประเมินค่า,  วิเคราะห์และประเมินทางเลือกที่สำคัญมุมมองต่างๆ ,สังเคราะห์และทำให้การเชื่อมต่อระหว่างข้อมูลและข้อโต้แย้ง , ตีความข้อมูล
และสรุปผลจากการวิเคราะห์ที่ดีที่สุด , สะท้อนให้เห็นถึงวิกฤตเมื่อประสบการณ์การเรียนรู้และกระบวนการ
แก้ปัญหาแก้ปัญหาที่แตกต่างกันของปัญหาในรูปแบบทั้งแบบธรรมดาและนวัตกรรม ,ระบุและถามคำถามสำคัญที่ชี้แจงจุดต่างๆของมุมมองและนำไปสู่​​การแก้ปัญหาที่ดีกว่า
การสื่อสารและการทำงานร่วมกัน
การสื่อสารอย่างชัดเจน 
-  ความชัดเจนในด้านความคิด คิดอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ทักษะการสื่อสาร การเขียน ความหลายหลากในรูปแบบและบริบทในการสื่อสาร
-  การสื่อสารโดยการฟังอย่างมีประสิทธิภาพ มีความรู้ ค่านิยม ทัศนคติและความตั้งใจ ตอบสนองการฟัง ฟังแล้วสามารถเข้าใจ สื่อสารได้
-  การใช้สื่อและเทคโนโลยีที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย
-  การสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ สื่อสารได้หลายภาษา
-  แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและการทำงานเป็นทีมที่มีความหลากหลายได้
-  มีความสามารถฝึกฝนได้อย่างคล่องแคล่ว และความตั้งใจในการทำให้เกิดความสำเร็จ บรรลุเป้าหมาย
-  มีความรับผิดชอบร่วมกันสำหรับการทำงานร่วมกันและการมีส่วนร่วมของแต่ละบุคคล
     ในปัจจุบัน ทุกภาคส่วน ควรตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ถึงเวลาที่จะต้องร่วมมือกันจัดการศึกษาให้ก้าวทันยุคทันเหตุการณ์ 

STEM Education

 


                     STEM Education คือ “การเรียนรู้เนื้อหาและทักษะทางด้านวิชาวิทยาศาสตร์ (Science) คณิตศาสตร์  (Mathematics) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และ เทคโนโลยี (Technology) ซึ่งล้วนเป็นวิชาที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีความรู้ความสามารถที่จะดํารงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพในโลกศตวรรษที่ 21 ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีความเป็นโลกาภิวัฒน์ ตั้งอยู่บนฐานความรู้ และเต็มไปด้วยเทคโนโลยี อีกทั้งวิชาทั้งสี่เป็นวิชาทีมีความสําคัญอย่างมากกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ การพัฒนาคุณภาพชีวิต และ ความมั่นคงของประเทศ” ซึ่งเมื่ออ่านดูแล้วอาจจะดูเหมือนว่าเป็นสิ่งใหม่ แต่ที่จริงแล้ว STEM Education ก็เป็นแนวคิดในการจัดการศึกษา STEM Education ที่ได้ลงมือปฏิบัติ ทำงานเป็นกลุ่ม อภิปรายและสื่อสารเพื่อนำเสนอ คล้ายกับแนวทางการเรียนรู้แบบ Project based Learning โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Inquiry) ที่มีการสร้างชิ้นงานหรือโครงงานที่เกิดจากการนำความรู้ ความเข้าใจใน 4 วิชาหลัก ได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science) คณิตศาสตร์  (Mathematics) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และ เทคโนโลยี (Technology) มาบูรณาการกันนั่นเอง ซึ่งนี่อาจจะเป็นสิ่งที่คุณครูหลายๆท่านก็ให้ลูกศิษย์ทำอยู่แล้วก็เป็นได้ 


STEM Education 



              


ที่มา : http://teacherkobwit2010.wordpress.com/stem-education/
นายรักษพล ธนานุวงศ์ . www.secondsci.ipst.ac.th